เอ็นโซ่ มาเรสก้า ย้ำผู้เล่นให้มีสมาธิเป็นพิเศษในการพบ ลิเวอร์พูล

Browse By

ในค่ำคืนที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์จะกลับมาเต็มไปด้วยความเข้มข้นอีกครั้ง เอ็นโซ่ มาเรสก้า เฮดโค้ชชาวอิตาเลียนของเชลซี ได้ออกมากล่าวเตือนลูกทีมของตนให้ “มีสมาธิเป็นพิเศษ” ก่อนเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดสำคัญที่ทีมของเขาจะเปิดบ้านรับการมาเยือนของ ลิเวอร์พูล ในวันที่ 4 ตุลาคมนี้ แม้คู่แข่งจะอยู่ในช่วงฟอร์มตกจากความพ่ายแพ้สองเกมติด แต่กุนซือรายนี้กลับย้ำชัดว่าห้ามประมาทเด็ดขาด เพราะ “ทีมอย่างลิเวอร์พูลไม่มีวันยอมแพ้ง่าย ๆ”

มาเรสก้าที่เข้ามารับตำแหน่งต่อจากเมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กำลังพาเชลซีเข้าสู่ยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความหวังและความท้าทาย ทีมของเขาเริ่มต้นฤดูกาลได้อย่างมั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากสร้างสมดุลระหว่างแนวรุกกับแนวรับได้ดีขึ้น แต่การเจอกับลิเวอร์พูลถือเป็นบททดสอบที่ใหญ่ที่สุดของเขาในฐานะผู้จัดการทีมพรีเมียร์ลีก เพราะนี่คือเกมที่ไม่ได้วัดแค่ฝีเท้า แต่ยังวัดจิตใจของนักเตะและแนวทางการเล่นที่เขาสร้างมาทั้งหมด

“ผมบอกนักเตะทุกคนว่าอย่ามองสถิติของคู่แข่งในสองเกมที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลอาจแพ้มาสองนัด แต่พวกเขายังเป็นทีมที่มีคุณภาพสูงและอันตรายทุกนาทีในสนาม” มาเรสก้ากล่าวในการแถลงข่าวก่อนเกม “สิ่งสำคัญคือเราต้องโฟกัสกับแผนของเราเอง และเล่นด้วยสมาธิตลอด 90 นาที เพราะทีมระดับนี้สามารถลงโทษคุณได้ทันทีถ้าเผลอแค่เสี้ยววินาที”

คำพูดของเขาสะท้อนถึงแนวทางการทำงานที่ละเอียดรอบคอบของกุนซือวัย 44 ปีรายนี้ ซึ่งเคยผ่านการเป็นผู้ช่วยของเป๊ป กวาร์ดิโอล่าที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำให้เขาเข้าใจดีถึงความสำคัญของจังหวะในเกมระดับสูง และรู้ว่าการเผชิญหน้ากับทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์นั้นไม่มีคำว่า “ง่าย”

แม้ลิเวอร์พูลจะเพิ่งแพ้สองเกมติดในลีก และดูเหมือนจะเสียขวัญบางส่วนจากความผิดพลาดในแนวรับ แต่ในสายตาของมาเรสก้า พวกเขายังคงเป็นทีมที่มีมาตรฐานสูงสุดทีมหนึ่งในยุโรป “ทีมที่มีคล็อปป์คุมอยู่ไม่เคยเล่นโดยไม่มีความมุ่งมั่น” เขากล่าวต่อ “พวกเขามีจิตวิญญาณของผู้ชนะ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมเคารพลิเวอร์พูลเสมอ”

ในมุมของเชลซี เกมนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะยืนยันว่า พวกเขากำลังกลับมาสู่เส้นทางแห่งความยิ่งใหญ่อีกครั้ง หลังจากฤดูกาลก่อนทีมต้องจบอันดับกลางตารางอย่างน่าผิดหวัง แฟนบอลหลายคนเริ่มมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนภายใต้การคุมทีมของมาเรสก้า โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดระบบเกมรุกที่เน้นการครองบอลและการสร้างพื้นที่ให้ผู้เล่นแนวรุกได้เล่นอย่างอิสระมากขึ้น

“ผมพยายามสร้างทีมที่กล้าเล่น กล้าครองบอล และรู้จักควบคุมอารมณ์ในเกมใหญ่ ๆ” มาเรสก้าอธิบาย “การเจอลิเวอร์พูลไม่ใช่แค่เรื่องของแท็กติก แต่เป็นเรื่องของจิตใจ นักเตะต้องมีสมาธิและความมั่นใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในสนาม เราต้องยืนหยัดในแผนของเราเอง”

หนึ่งในจุดที่กุนซือชาวอิตาเลียนให้ความสำคัญมากที่สุดก่อนเกมคือการควบคุมแดนกลาง ซึ่งเป็นหัวใจหลักของเกมเมื่อเจอกับลิเวอร์พูล เขารู้ดีว่าทีมของคล็อปป์จะพยายามเพรสซิ่งสูงตั้งแต่ต้นเกม ดังนั้นการวางตำแหน่งของมิดฟิลด์อย่างเอ็นโซ่ เฟร์นันเดซ และโรมิโอ ลาเวีย จะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความนิ่งและการครองบอล

“ผมต้องการให้ผู้เล่นเล่นด้วยสมาธิพิเศษในเกมนี้ เพราะถ้าเสียสมาธิแค่ครั้งเดียว ลิเวอร์พูลจะฉวยโอกาสได้ทันที” มาเรสก้ากล่าว “สิ่งที่ผมพูดเสมอคือ ฟุตบอลในระดับนี้ไม่ได้ตัดสินกันด้วยแท็กติกอย่างเดียว แต่มันคือการตัดสินกันด้วยความมุ่งมั่นและสมาธิในทุกจังหวะของเกม”

ภายใต้การคุมทีมของมาเรสก้า เชลซีเริ่มมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนขึ้น พวกเขาเล่นฟุตบอลที่สวยงาม เน้นการต่อบอลสั้นแต่มีความเร็วในการเปลี่ยนจังหวะ ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับวิธีคิดของเขาที่ได้เรียนรู้จากเป๊ป กวาร์ดิโอล่า “ผมไม่ได้ลอกระบบของใคร แต่ผมเรียนรู้สิ่งดี ๆ จากโค้ชที่ดีที่สุด และพยายามสร้างสิ่งที่เหมาะกับนักเตะของผม” เขากล่าวอย่างถ่อมตัว

ในแง่แท็กติก เชลซีของมาเรสก้าเริ่มสร้างความน่ากลัวจากการเคลื่อนที่ของแนวรุกที่หลากหลาย ทั้งราฮีม สเตอร์ลิง, โคล พาลเมอร์ และนิโกลัส แจ็คสัน ต่างแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจเกมที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาสามารถสลับตำแหน่งได้อย่างอิสระและคอยสร้างช่องว่างให้กัน ซึ่งเป็นสิ่งที่มาเรสก้าภูมิใจอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า ลิเวอร์พูลยังคงเป็นทีมที่มีศักยภาพเหนือกว่าในหลายด้าน โดยเฉพาะความเฉียบคมในการโจมตี “คุณไม่มีวันหยุดโม ซาลาห์ ได้ง่าย ๆ” มาเรสก้ากล่าว “เขาเป็นนักเตะที่สามารถเปลี่ยนผลการแข่งขันได้ในเสี้ยววินาที ดังนั้นเราต้องมีสมาธิและป้องกันเป็นทีม”

เมื่อพูดถึงการเตรียมทีมในสัปดาห์นี้ กุนซือชาวอิตาเลียนเน้นหนักไปที่การซ้อมในจังหวะเปลี่ยนเกมและการเล่นบอลแรกหลังจากแย่งบอลคืนมาได้ เขาเชื่อว่าการโจมตีอย่างรวดเร็วจะเป็นกุญแจสำคัญในการเจาะแนวรับของลิเวอร์พูลที่กำลังเสียความมั่นใจ “เราต้องฉวยโอกาสจากจุดอ่อนของพวกเขา แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ประมาท เพราะทีมนี้สามารถกลับมาได้ทุกเมื่อ”

มาเรสก้าไม่ได้ปฏิเสธว่าเกมนี้มีความสำคัญต่อสโมสรอย่างมาก หากเชลซีสามารถคว้าชัยได้ พวกเขาจะส่งสัญญาณชัดเจนถึงทั้งลีกว่าทีมกำลังกลับมาอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง “มันไม่ใช่เกมชี้ชะตา แต่เป็นเกมที่สามารถสร้างแรงกระตุ้นให้ทีมเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น” เขากล่าว “สิ่งที่ผมอยากเห็นคือเชลซีที่มีความมั่นใจ กล้าเล่น และพร้อมต่อสู้จนวินาทีสุดท้าย”

สำหรับแฟนบอลเชลซี เกมนี้ยังถือเป็นการวัดพลังระหว่าง “โค้ชยุคใหม่” สองคนที่มีแนวคิดฟุตบอลแตกต่างกัน เจอร์เก้น คล็อปป์ คือกุนซือที่เน้นพลังและความเร็ว ในขณะที่มาเรสก้าคือโค้ชที่เน้นจังหวะและความคิดเชิงกลยุทธ์ มันจึงน่าติดตามว่าการปะทะกันของสองปรัชญานี้จะออกมาในรูปแบบใด

บทวิเคราะห์จาก สมัคร ufabet ล่าสุด โปรโมชั่นจัดเต็มมองว่า เกมนี้จะเป็นการวัดกันที่แดนกลางอย่างแท้จริง เชลซีมีความได้เปรียบในเรื่องพลังหนุ่มจากเอ็นโซ่ เฟร์นันเดซ และลาเวีย แต่ลิเวอร์พูลมีประสบการณ์จากนักเตะอย่างอเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และโซบอสไล ซึ่งจะทำให้เกมนี้เป็นการต่อสู้ของสองระบบที่แตกต่างอย่างชัดเจน วิเคราะห์เพิ่มเติมว่า “สิ่งที่มาเรสก้าทำได้ดีคือการจัดระเบียบทีมให้แน่น แต่สิ่งที่เขาต้องระวังคือจังหวะสวนกลับของลิเวอร์พูลที่อันตรายมากหากเสียบอลกลางสนาม”

ในแง่ของจิตวิทยา มาเรสก้ามองว่า การที่ลิเวอร์พูลแพ้มาสองเกมติด อาจทำให้พวกเขาเล่นด้วยความมุ่งมั่นมากกว่าเดิม เขาเตือนลูกทีมว่าอย่าหลงคิดว่าคู่แข่งกำลังอ่อนแอ “ทีมที่แพ้สองเกมติดจะกระหายชัยชนะมากกว่าทีมที่ชนะสามเกมรวด เพราะพวกเขามีแรงผลักดันมากกว่าเดิม นั่นคือเหตุผลที่เราต้องเล่นด้วยสมาธิสูงสุด” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

สิ่งที่ทำให้แฟนบอลรู้สึกมั่นใจในมาเรสก้าคือแนวทางการสื่อสารที่ชัดเจน เขาไม่เคยส่งสารที่สับสนให้ผู้เล่น ทุกคำพูดของเขามีเป้าหมายเดียว — ทำให้ทีมเล่นด้วยความมั่นใจและความเข้าใจในแผนการเล่น “ผมไม่ได้ต้องการให้ผู้เล่นคิดว่าพวกเขาเก่งกว่าใคร แต่ผมต้องการให้พวกเขาเชื่อว่าถ้าเราทำงานตามแผนได้ถูกต้อง เราสามารถเอาชนะได้ทุกทีม”

ในเกมนี้ มาเรสก้าน่าจะเลือกใช้ระบบ 4-3-3 ที่เน้นการครองบอลและการซ้อนตำแหน่งระหว่างแบ็กกับมิดฟิลด์ โดยให้เอ็นโซ่ เฟร์นันเดซทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมจังหวะเกม ขณะที่โคล พาลเมอร์และสเตอร์ลิงจะทำหน้าที่ลากคู่แข่งเปิดช่องให้แจ็คสันเข้าโจมตี ซึ่งเป็นสูตรที่เริ่มเข้าที่ในช่วงหลัง

แม้เชลซียังอยู่ในช่วงพัฒนา แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือพวกเขามีความมั่นคงมากขึ้นในเกมรับ คู่เซ็นเตอร์อย่างดิซาซี่และเลวี่ โคลวิลล์เริ่มเข้าใจกันมากขึ้น ส่วนผู้รักษาประตู โรเบิร์ต ซานเชซ ก็แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในจังหวะสำคัญ นี่คือองค์ประกอบที่ทำให้แฟนบอลเริ่มเชื่อว่าทีมกำลังกลับมาสู่เส้นทางที่มั่นคงอีกครั้ง

ในทางกลับกัน ลิเวอร์พูลเองก็กำลังมองหาโอกาสในการกลับมาสู่ฟอร์มเก่งหลังความพ่ายแพ้สองเกมติด และนี่คือสิ่งที่มาเรสก้ามองว่า “อันตรายที่สุด” เพราะทีมที่กำลังเสียฟอร์มจะเล่นด้วยแรงขับจากความโกรธและความมุ่งมั่นที่มากกว่าปกติ “คุณไม่สามารถปล่อยให้ลิเวอร์พูลได้บอลง่าย ๆ หรือเล่นด้วยความมั่นใจ เพราะพวกเขาจะใช้จังหวะนั้นเปลี่ยนเกมได้ทันที” เขากล่าว

บทวิเคราะห์จาก ufabet บอลชุดออนไลน์ ราคาดีที่สุด สรุปว่า เกมนี้อาจเป็นหนึ่งในแมตช์ที่น่าดูที่สุดของเดือน เพราะทั้งสองทีมต่างมีเป้าหมายและแรงกดดันที่แตกต่างกัน เชลซีต้องการพิสูจน์ว่ากำลังกลับมาอย่างแท้จริง ขณะที่ลิเวอร์พูลต้องการลบล้างความผิดหวังและเรียกศรัทธาคืน คาดว่าความสมาธิและความนิ่งของนักเตะจะเป็นตัวแปรสำคัญที่สุดในการตัดสินผลลัพธ์ของเกมนี้

ในตอนท้ายของการแถลงข่าว มาเรสก้ากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ผมไม่สนว่าลิเวอร์พูลจะอยู่ในสถานการณ์ไหน พวกเขาคือหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในยุโรปเสมอ สำหรับผม การเจอกับลิเวอร์พูลคือบททดสอบที่ยอดเยี่ยมของเรา และผมอยากเห็นว่าทีมของเราจะตอบสนองอย่างไรเมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดัน”

คำพูดนั้นได้รับเสียงปรบมือจากสื่อมวลชนและสร้างความมั่นใจให้กับแฟนบอลเชลซีทั่วโลก เพราะมันแสดงให้เห็นถึงแนวคิดของผู้จัดการทีมที่เข้าใจความจริงของฟุตบอล — ว่าความสำเร็จไม่ได้มาจากการดูถูกคู่แข่งที่แพ้ แต่เกิดจากการเคารพคู่ต่อสู้และการเตรียมตัวอย่างรอบคอบที่สุด

เมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้นในค่ำคืนวันที่ 4 ตุลาคม ทั้งสองทีมจะลงสนามด้วยแรงผลักดันที่แตกต่างกัน แต่เป้าหมายเดียวกันคือ “ชัยชนะ” และสำหรับเอ็นโซ่ มาเรสก้า เขารู้ดีว่านี่คือเกมที่จะพิสูจน์ว่าเชลซีของเขาไม่ใช่แค่ทีมที่เล่นได้ดีในบางวัน แต่คือทีมที่มีวุฒิภาวะพอจะต่อกรกับยักษ์ใหญ่ในพรีเมียร์ลีกได้อย่างแท้จริง

และไม่ว่าผลการแข่งขันจะออกมาอย่างไร แฟนบอลเชื่อมั่นว่า นี่คือการเริ่มต้นของยุคใหม่ที่ทีมจะไม่เพียงแค่เล่นฟุตบอลที่สวยงาม แต่ยังเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของความมุ่งมั่น สมาธิ และความเชื่อมั่นในแนวทางของตัวเอง ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนอยู่ในคำพูดของกุนซือชาวอิตาเลียนที่ว่า — “เราไม่จำเป็นต้องดีกว่าคู่แข่งทุกคนในโลก แต่เราต้องมีสมาธิมากกว่าพวกเขาในทุกนาทีของเกม”